“ราชาสถาน”นครมหาราชา อัญมณีที่ล้ำค่าบนแผ่นดินสีทองของอินเดีย | แผนเที่ยว 11 วัน

รัฐ “ราชาสถาน” ดินแดนแห่งกษัตริย์ตามแบบฉบับของอินเดียอย่างแท้จริง อัดแน่นไปด้วยป้อมปราการ พระราชวังที่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ ที่ไม่เหมือนรัฐไหนในอินเดียจึงได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีเม็ดหนึ่งของอินเดียจริงๆ

Land of maharajas, Palaces and medieval forts.

ดินแดนทางตะวันตกของอินเดียพรมแดนติดประเทศปากีสถานเป็นรัฐแห่งหนึ่งที่เข้มข้นไปด้วยประวัติศาสตร์ ป้อมปราการ พระราชวัง สีสันที่ถูกแต้มไว้บนบ้านเรือนของผู้คนในแต่ละมุมเมืองสร้างชื่อให้ราชาสถานเป็นรัฐแห่งสีสัน เป็นตั๋วแผ่นใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนดินแดนแห่งมหาราชาแห่งนี้ 

“Celebration of Color”

รัฐ “ราชาสถาน” อัดแน่นไปด้วยเมืองต่างๆที่มีจุดเด่นเป็นชื่อเล่นเรียกตามสีเช่นชัยปุระ เมืองสีชมพู ไจซอลเมอร์เมืองสีทอง จ็อดปูร์เมืองสีฟ้า อูเดปูร์เมืองสีขาว ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้เรารู้สึกถึง รักแรกพบ ที่ทำให้หัวใจพองฟูและตื่นเต้นที่อยากจะมาดูเมืองเหล่านี้ด้วยตาของตัวเอง แผ่นดินอะไรกันที่มีทั้งอูฐ ทะเลทราย ป้อมปราการ พระราชวัง ซาหรี่หลากสีสัน ชนพื้นเมืองยิปซี บ้านช่องที่เป็นเหลี่ยมๆติดๆกัน ต่างเมืองก็ต่างออกไป ทำให้การมาทริปนี้เราพร้อมใช้เวลายาวๆกันไปเลยถึง 10วันค่อยๆลัดเลาะไปทีละเมือง สัมผัสกันอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป เอาล่ะค่ะ ไปเริ่มกันเลย 

– เมืองที่เราจะไปใน 10วัน –

DelhiArgaJaipurJaisalmerJodhpurPushkarUdaipur

Day01 : Delhi

เราเริ่มต้นอินเดียด้วยการบินมาลงที่เมืองหลวงของอินเดียที่ชื่อว่าเมือง เดลี Delhi ค่ะยอมรับเลยว่าขามาไม่ได้วางแผนอะไรมาเลยกะว่าจะมาหาเอาที่เมืองนี้นี่แหละ เราเจอคนอินเดียบนเครื่องพูดกับเราว่ามาได้ยังไงโดยไม่มีแผนไม่มีทัวร์คนอินเดียยังไม่กล้าทำเลย 55 เราก็ได้แต่ยิ้มแหะๆไปไม่มีแผนในที่นี้คือไม่ได้อ่านมาเยอะด้วย รู้แค่เบื้องต้นว่าควรไปพักแถวๆไหนแค่นั้นค่ะ ลงเครื่องซื้อซิมอินเดียและออกมาขึ้นรถบัสค่ะ เพราะราคาถูก รถจะเวียนไปลงตลาดที่เราจองที่พักไว้พอดี 

ซึ่งที่พักที่เราจองไว้นั้นอยู่ที่ Paharganj Night Market ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักเดินทาง ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยที่พักให้เลือกแล้วยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟ รถบัสต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการเดินทาง ซื้อของ เตรียมตัวเพื่อที่จะไปเมืองอื่นๆ 

Paharganj Night Market
Address : Main Bazaar, Near New Delhi Railway Station, Delhi 110055
Opening hours : 11am – 9pm (daily)

ลงรถบัสเดินหาที่พักจนเช็กอินเก็บของเรียบร้อยแล้วลงมาริมถนนได้พบคนอินเดียย่านนั้นให้ข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปวางแผนกับ “Tourist Center” ซึ่งเขาเรียกริกชอร์หรือตุ๊กๆให้เราพร้อมต่อราคาให้เสร็จสรรพ เพื่อนำเราไปส่งถึงที่นั่น ขอบอกว่าตุ๊กๆที่นี่ขับได้ผาดโผนมาก!

เมื่อมาถึงก็เป็นตึกห้องเล็กๆมีห้องให้เราเข้าไปที่นั่น เหมือนมาซื้อทัวร์นั่นแหละ จากตอนแรกเราเข้าใจว่าจะเป็นสถานที่ๆให้ข้อมูลแก่เราได้ แต่จริงๆก็คือเหมือนขายทัวร์นั่นแหละค่ะ ซึ่งอยากจะบอกว่าข้อดีของการมาที่นี่คือ เค้าจะถามงบ กับระยะเวลาของเราก่อน

บนริกชอร์ที่ซิ่งสุดๆไปเลย
ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ขายทัวร์)

Tourist Center กับการวางแผนเที่ยว

อยากจะบอกว่าแว๊บแรกคิดว่าตัวเองถูกหลอกมาซื้อทัวร์ จริงๆมันมีข้อดีอยู่เยอะมากเลยค่ะ ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ทำให้ทริปนี้ไหลลื่นสุดๆ

ข้อดีที่ว่านั้นคือ เขาจะพูดคุยกับเราก่อน อยากไปไหน ทำอะไรที่ไหนเป็นพิเศษไหม อ่านอะไรมาบ้าง แล้วเขาจะถามงบประมาณของเรากับระยะเวลาของเราค่ะ ซึ่งไม่เพียงแต่จะวางทริปให้เรา เขาจะหาที่พักและจองรถกับรถไฟจองทุกอย่างให้เราเลย พอวางออกมาเขาก็จะถามเราว่าโอเคไหม ถ้าไม่โอเคก็ปรับๆๆ ถ้างบเกินก็ปรับๆ เช่นไปปรับจากรถไฟชั้น1เป็นชั้น2 ทริปนี้ของเราจึงออกมา ในราคา 15000บาท 10วันรวมรถไฟ รถแท็กซี่ ที่พัก

จ่ายเงินที่โต๊ะนี้เลย รอสักพักเขาจะให้ซองเรามาตามจำนวนวันที่เราเดินทาง ในซองนั้นให้เราเปิดวันละ1ซอง จะมีแผนการเดินทางใบจองรถไฟตารางรถที่ระบุเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมเบอร์โทรกำกับหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นระหว่างทริปและเขาสอนเราดูวิธีการขึ้นรถไฟอย่างละเอียด **อยากจะบอกว่ารถไฟอินเดียเป็นอะไรที่หินมากจองว่ามึนแล้วมารอขึ้นยังมึนกว่า ไม่ได้มีภาษาอังกฤษแปะที่ขบวนเลย ขนาดมีแผนอยู่ในมือว่าดูง่ายแล้วยังมีขึ้นผิดขบวน** กลายเป็นว่าเราต้องถามคนแถวนั้นทุกรอบเลย จบจากที่นี่เขาให้แท็กซี่พร้อมคนขับพาเราไปเที่ยวที่ India Gate พร้อมพาไปทานดินเนอร์อร่อยๆค่ะ 

India's Gate

-01-
India Gate

ประตูอินเดีย (India Gate) หรือชื่อเดิม อนุสรณ์สถานแห่งสงครามทั้งปวงของอินเดีย (All India War Memorial) สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงทหารอินเดียกว่า 70,000นาย จากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับสงครามที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย  
บรรยากาศโดยรอบบริเวณนั้นมีความคึกคัก ผู้คนออกมาเดินเล่น ถ่ายรูป ราวๆกับเป็นสวนสาธารณะเลยค่ะแต่ไ่ม่ใช่ มีการเดินขายของฝาก เพ๊นท์เฮนน่าแม้แต่สตรีทฟู๊ดก็ยังมีเลย แน่นอนมีขอทานเช่นกัน ไปช่วงตอนเย็นก็จะไม่ร้อนเลย 

Day02 : Delhi - Agra - Jaipur

วันที่ 2 ของอินเดียตั้งแต่เช้าตรู่รถแท็กซี่มารอรับเราที่โรงแรมเพื่อจะเดินไปทางไปต่อถึงจุดหมายปลายทางคือเมืองชัยปุระ นครสีชมพู ประตู่สู่ราชาสถานนั่นเอง ซึ่งจะมีระยะทาง 278กิโลเมตร ผ่านเข้าไปยังเมือง Agra แต่เราจะไม่ได้นั่งตรงๆไปถึงชัยปุระเลย จะมีแวะเที่ยวบางจุดด้วย สถานที่แรกที่เราจะแวะนั่นคือ “Taj Mahal” 

-02-
Taj Mahal

มัสยิดหินอ่อนสีขาวงาช้างตั้งอยู่ข้างแม่น้ำ Yamuna ชื่อว่า “ทัชมาฮาล” มีชื่อเสียงดังก้องระดับโลก เพราะแรงบันดาลใจในการสร้างนั้นไม่ธรรมดา จากพระราชาผู้ร่ำรวยและยิ่งใหญ่ได้เสียภรรยาสุดที่รักไป สถานที่แห่งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกแด่ภรรยาของเขา ไม่เพียงแต่จะเป็นมัสยิดเท่านั้น ยังคงเป็นหลุมฝังศพของ Mumtaz Mahal ภรรยาของเขาและในเวลาต่อมาก็เป็นสถานที่ฝังศพของเขาด้วยเช่นกัน 

ในปี 2526 ทัชมาฮาลได้ถูกกำหนดให้เป็น มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเพื่อให้เป็น “อัญมณีแห่งศิลปะของชาวมุสลิมในอินเดียและเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของมรดกโลกที่ได้รับการยกย่องในระดับสากล”

บริเวณชุมชนรอบๆทัชมาฮาล
เด็กๆที่เป็นมิตรมาก บริเวณทางออกของทัชมาฮาล

เราใช้เวลาไปเยอะพอสมควร มีความผิดแผนผิดพลาดหลายอย่าง 1คือเราต้องฝากของที่ล็อกเกอร์ไม่สามารถเข้าไปได้ทั้งกระเป๋าแต่ประตูที่ริกชอร์มาส่งนั้นอยู่คนละประตูกับล็อกเกอร์ ซึ่งไกลมากทำให้เราต้องเดินเลาะชุมชนเมืองไปอีกฝั่งเพื่อเข้าประตูที่มีล็อกเกอร์ เมื่อเข้ามาได้แล้วต้องเข้าคิวผ่านประตูเอ็กซเรย์ตรวจค้นอีกด้วย

ซึ่งตรงนี้หากแต่งตัวไม่เรียบร้อยคือแต่งตัวโป๊หน่อยจะมีเจ้าหน้าที่บริการซาหรี่ให้ยืม ซึ่งก็กลายเป็นว่าเข้า Theme ถ่ายรูปกับที่นี่ไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องเตรียมชุดมาแต่เราแต่งตัวเรียบร้อยมากจึงผ่านประตูมาโดยไม่มีซาหรี่ให้ยืม ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี ออกจากตรงนี้เจอกับตุ๊กๆที่นัดไว้ เจอตุ๊กๆบ่นใหญ่เลย ว่าพี่ครับนึกว่าพี่หายไปแล้ว หายไปไหนแล้วผิดเวลาที่นัดไปเป็นชั่วโมงเลยผมตกใจหมด ขับรถหาทั่วเลย… แล้วเราก็ไปสถานที่ต่อไปเลยอีก 159km. 

-03-
Chand Baoli

โบราณสถาน “บ่อน้ำขั้นบันได” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่พอยังเก่าแก่ที่สุดในชัยปุระ ไม่พอยังถูกถ่ายรูปมากที่สุดในชัยปุระอี๊ก!!   CHAND BAOLI ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์จันดาแห่งราชวงศ์ Nikhumbha ในศตวรรษที่ 9 

Chand Baoli ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อในกักเก็บน้ำ บรรเทาความร้อนระอุและความแล้งในพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากพื้นที่โดยรอบเป็นทะเลทราย ที่นี่มีบันไดถึง 3,500 ขั้น บันไดทุกขั้นจะค่อยๆแคบลงเมื่อเข้าใกล้ชั้นล่าง และด้านหนึ่งมีศาลาสามชั้นที่แกะสลักอย่างวิจิตงดงาม มีไว้ให้ราชวงศ์นั่งพักผ่อนนั่นเอง 

ที่แห่งนี้จริงๆไม่ได้อยู่ในแผนที่เค้าเตรียมไว้ให้ค่ะ เราเปิดรูปให้ลุงคนขับรถดูลุงถามว่ามันเย็นแล้วถ้าออกนอกเส้นทางจะไปถึงช้านะเพราะเราเลทมาแล้วจากทัช จะไปไหมเราก็ตอบตกลงไปค่ะ ยังไงก็ไปถ้าไปทัน ถึงที่นั่น 5โมง เค้ากำลังปิดพอดี แต่ก็ไปขอเค้าคนสุดท้าย ที่นั่นค่อนข้างเงียบไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว อยู่ห่างจากเมือง บริเวณโดยรอบเป็นบ้านคนหลังเล็กๆเก่าๆเลย แบบไกลห่างความเจริญเลยล่ะ ได้เดินเล่นถ่ายรูปอยู่สักพักก็รีบขึ้นรถไปต่อเลย ทำให้ไปถึงที่พักเมืองชัยปุระช้าและมืดพอดี (ที่ทำให้อยากไปที่นั่นเพราะจำได้ว่าเป็นฉากหนึ่งที่หนังเรื่องแบตแมนมาถ่ายทำที่นี่จ้า)

 

Day03 : Jaipur - jaisalmer

ชัยปุระเมืองสีชมพูและเป็นเมืองหลวงของรัฐราชาสถาน เรามาถึงโดยแท็กซี่ประมาณ 2-3 ทุ่มเข้าที่พักเดินออกมาทานอาหารข้างทาง ข้าวราดแกงกระหรี่ต่างๆ เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พัก เช้านี้แท็กซี่คนเดิมก็มารับเราที่ๆพักเพื่อจะเริ่มทริปของวันนี้กันตั้งแต่เช้าเลย.. และสถานที่แรกของสายวันนี้ก็คือ ป้อมปราการที่ใหญ่และอลังการมากกกกกกของชัยปุระนั่นเอง  

-04-
Amber Fort

ป้อมปราการที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมในแบบราชบัทและโมกุล (Rajput and Mughal) ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงยาวเห็นความอลังการมาตั้งแต่ไกล ราวกับว่าเอาไว้ข่มข้าศึกศัตรูและเป็นองค์รักษ์เฝ้าดูแลเมือง

ที่นี่ไม่เป็นเพียงแค่ป้อมปราการแต่ภายในยังประกอบไปด้วย พระราชวัง และวัด ทำให้ที่นี่จึงมีความวิจิตรปราณีต มีความงดงามซ่อนอยู่ภายในหากค่อยๆสัมผัสไปทีละส่วนเช่น ประตูหลายประตูสร้างด้วยหินทรายสีแดงทั้งแท่งประดับไปด้วยหินอ่อนสีขาว รังสรรค์ที่นี่โดยมหาราชามันซิงห์ (Maharaja Man Singh) ในปี 1592 และปัจจุบันองค์การยูเนสโก้ยกย่องให้เป็นภาพสัญลักษณ์ของความโอ่อ่าตระการตา ท่ามกลางทะเลทรายอันมืดมิดและเนินเขาที่สูงตระหง่าน 

ด้วยความใหญ่จะใช้เวลาเดินกันสักหน่อย นักท่องเที่ยวบางคนก็เลือกบริการนั่งช้างเข้าไปเลยแต่เราเลือกเดิน ตามทางไม่ได้มีเพียงนักท่องเที่ยว แต่ยังมีการขายของ ขอทาน มีคนมานั่งเป่าปี่ให้งูออกมาแบบในนิทานเลยค่ะ 

ภายในคือกว้างใหญ่จริงๆใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็ยังไม่สามารถจะชมให้หมด เปรียบเทียบง่ายที่สุดก็คงจะบอกว่าข้างในเป็นหมู่บ้านๆนึงได้เลย มีสัดส่วนการใช้พื้นที่ต่างๆ ตรอกซอกซอย ห้องเล็กห้องน้อยเยอะสุดๆไปเลย

บริเวณรอบๆหากมองลงมาจากป้อม
หมู่บ้านที่อยู่รอบๆป้อม

เที่ยวเล่นที่นี่จนครบก็กลับเข้าเมืองชัยปุระ เพื่อที่จะไปเที่ยวในเมืองต่ออีก ที่ป้อมปราการแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเมือง 11กิโลเมตร ทำให้ต้องใช้เวลาเข้าออกเมืองเช่นกัน ก่อนกลับเข้าเมืองเราได้แวะทานอาหารกลางวัน พักผ่อน และแวะโรงงานที่ผลิตพรมด้วยค่ะ ก่อนจะถูกดรอปที่ใจพระราชวังใจกลางเมือง 

โรงงานผลิตพรมที่เมืองชัยปุระ นั่งปักมือกันทุกคนเลย

-04-
City Palace

พระราชวังที่สร้างขึ้นพร้อมกับเมืองชัยปุระ ไม่ใช่ที่ไหนไกลแต่นั่นคือ City Palace ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสีชมพูแห่งนี้ สร้างโดยมหาราชา ไสว ไจ ซิงห์ที่สอง (Maharaja Sawai Jai Singh II)

City Palace พระราชวังของเมืองเป็นที่สำหรับพระราชพิธีและการบริหารงานบ้านเมืองของมหาราชาแห่งชัยปุระ ทั้งวังยังเป็นที่ตั้งของกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนเป็นที่สนับสนุนศิลปะการค้าและอุตสาหกรรม จนถึงปี ค.ศ 1949 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ มหาราชา ไสว ไจ ซิงห์ และยังคงเป็นบ้านแท้ๆของราชวงศ์ชัยปุระ 

ภายในของพระราชวังประกอบไปด้วยอาคารเล็กอาคารน้อยอีกหลายหลัง ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ร้านอาหาร ลานต่างๆ มีความงดงาม และยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกันสมกับเป็นพระราชวังของมหาราชาจริงๆค่ะ หากมาเที่ยวที่แห่งนี้ต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆหน่อย เพราะมีจุดให้เดินชม ถ่ายรูป ดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมเยอะแยะไปหมดเลย 

ประตูทางเข้าออกพระราชวัง แต่ในรูปนี้ถ่ายจากภายในออกนอก มุมซ้ายล่างคือห้องน้ำชาย

ประตูทางเข้าออกเมืองตรงนี้ก็จะมีกลิ่นแรงนิดหน่อย เตรียมผ้าปิดจมูกให้พร้อม เพราะว่าตรงซ้ายมือด้านล่างในรูปนั้นคือห้องน้ำชายแบบ Open ที่มีเหล่าท่านชายทั้งหลายแวะเวียนมาไม่ขาดสาย แน่นอนว่าเรื่องกลิ่นไม่ต้องพูดถึง เดินออกมาด้านหน้าคือตลาดและจุดแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้เลย 

-05-
Hawa Mahal

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมที่นี่จึงฮิตและโด่งดังสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่ว่าจะมาจากไหนก็ต้องแวะถ่ายรูปกับที่นี่ นั่นก็เพราะด้วยความสวยงามแปลกตาของสถาปัตยกรรมของตึกนี้นั่นเอง

Hawa Mahal นั้นก็เป็นพระราชวังหนึ่งในชัยปุระ ตั้งอยู่บริเวณขอบของ City Palace โดยสร้างเพื่อให้เป็นห้องสำหรับสตรี หรือที่เรียกว่า “Zenana” โดยเหล่าสตรีจะโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างเล็กๆเหล่านั้น

“นี่คือส่วนหลังสุด”

ตัวอาคารมีทั้งหมด 5ชั้น ภายนอกมีรูปลักษณ์คล้ายรังผึ้ง มีหน้าต่างจำนวน 953บานด้วยความปราณีตและวิจิตร จุดประสงค์ดั้งเดิมของการออกแบบโครงตาข่ายคือให้ราชวงศ์ได้เฝ้าสังเกตชีวิตประจำวันและเทศกาลต่างๆ ที่เฉลิมฉลองกันที่ถนนเบื้องล่างโดยไม่มีใครเห็น เนื่องจากพวกเขาต้องปฏิบัติตามกฎที่เคร่งครัดของ “ปุรดาห์” ซึ่งห้ามไม่ให้ปรากฏในที่สาธารณะโดยไม่ปิดบังใบหน้า อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1799 โดยมหาราชา ไสว ประทับ ซิงห์ (Maharaja Sawai Pratap Singh ) ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของเจ้าเมือง ไสว ไจ ซิงห์ 
นักท่องเที่ยวส่วนมากคิดว่านี่คือส่วนด้านหน้าของพระราชวังแต่ความจริงแล้ว นี่คือส่วนที่อยู่หลังสุดเลยจ้า เราก็คนนึงที่คิดว่านี่คือข้างหน้าเช่นกัน.. 

ถ่ายรูปกับพระราชวังมาหลายชั่วโมงแล้ว ตกเย็นก็เดินเล่นรอบๆถนนแถวๆนั้น แม้แต่ตึกของตลาดแถบนี้ยังคงสร้างมาจากหินทรายสีแดงเช่นเดียวกับพระราชวัง ทำให้ดูกลมกลืนกันไปหมดจนไม่น่าแปลกใจว่าทำไมที่นี่ถึงได้รับชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพู ตลาดก็มีของทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผ้าซาหรี่ กระเป๋า เข็มขัด หรือผลไม้แบบรถเข็น เดินจนเย็นรอเวลาที่แท็กซี่มารับไปส่งเราขึ้นรถไฟนอน ซึ่งคืนนี้เราจะนอนบนรถไฟเพื่อไปโผล่ยังเมืองอีกเมืองหนึ่งนั่นเอง 

Day04 : jaisalmer

เมืองนี้คือเมืองที่ทำให้เราตั้งใจมาอินเดีย หลังจากที่อินเดียไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อน ภาพของอูฐกลางทะเลทรายและปราสาทหน้าตาแปลกๆ ไจซอลเมอร์ ดินแดนสีทองชื่อนี้ไม่ได้ๆมาเพียงเพราะแค่ตั้งอยู่ที่ทะเลทรายแต่บริบทอื่นๆเช่นตึกรามบ้านช่องก็ยังเป็นสีเดียวกัน นั่นคือสีเหลืองทอง!!! 

-06-
Camel Safari

Camel Safari ให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและเรารู้สึกว่าคุ้มค่ามากๆที่เลือกมาที่นี่ การมายังเมืองทะเลทรายแล้วไม่ไปใช้ชีวิตกลางทะเลทรายจะเรียกว่ามาถึงได้อย่างไรใช่ไหมละคะ ที่นี่ก็คือทะเลทรายคล้ายๆกับทะเลทรายประเทศอื่น แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือที่นี่คือทะเลทรายในประเทศอินเดีย!! ที่เราก็งงเหมือนกันว่าอินเดียเนี่ยนะมีทะเลทรายกับเขาด้วย

Camel Safari เป็นชื่อทัวร์

Camel Safari ไม่ใช่ชื่อสถานที่ แต่เป็นชื่อทัวร์ที่มีบริการมากมายหลายเจ้าให้เลือกสรร แต่ละเจ้าต่างกันออกไปที่บริการ ไม่ว่าจะเป็นรถรับส่ง สถานที่พักและราคา การออกไปทัวร์นี้ก็คือการออกไปแคมป์กลางทะเลทราย ขี่อูฐไปดูพระอาทิตย์ตก ทานอาหารเย็นกลางทะเลทรายและร้องเล่นเต้นระบำรอบกองไฟกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักและไปหลับพร้อมๆกันกลางทะเลทรายที่มีความสว่างเพียงแค่แสงดาว !! แค่ฟังก็น่าสนุกแล้วล่ะ 

เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ คนขับรถจะมาถือป้ายชื่อชูรอรับเราขึ้นรถ ซึ่งหน้าตารถที่มารับก็คันนี้เลยค่ะ จะนั่งกันประมาณ8คนรวมคนขับ ด้านหลัง6คนสองแถวนั่งหันหน้าเข้าหากันแถวละ3 นั่งเบียดกันไปเลยจ้าา ไม่มีแอร์ ใช้หน้าต่างเท่านั้นท่ามกลางความระอุที่ 40++องศา 

เราใช้เวลาที่นี่จนลืมวันลืมเวลาไปเลย สนุกจนไม่ได้รู้สึกร้อน กลางคืนอากาศกลับเย็นสบายแบบทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ได้เหมือนกันค่ะ อยู่ที่นี่ไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ผ่านกิจกรรมมากมายทั้งเต้นรอบกองไฟ พูดคุยกับคนแปลกหน้า หัวเราะกับเด็กชายเลี้ยงอูฐ ถ่ายรูปจนเมมเต็ม เช้านี้ตื่นขึ้นมาได้เวลาเก็บของกลับเข้าเมืองไจซอลเมอร์

Day05 : jaisalmer City

-07-
Jaisalmer City

ไจซอลเมอร์ เมืองที่มีพรมแดนติดกับปากีสถานและไม่น่าเชื่อว่าเมืองแห่งนี้จะมีความสวยงามจนทำให้ตะลึงไปเลย ที่อยู่อาศัยของผู้คนที่นี่หน้าตาคล้ายๆกันไปหมดคือทำมาจากหิน ที่มองรวมๆแล้วนั่นแหละ ใช่เลยเมืองสีทอง ไม่เพียงแต่อาคารบ้านเรือนเท่านั้น แต่ผู้คนที่นี่กลับเป็นมิตรจนทำให้เราอึ้งไปอีกเช่นกัน ไม่มีขอทาน ไม่มีเด็กรีดไถเงิน มีแต่รอยยิ้มที่มอบให้พร้อมกับเด็กๆที่วิ่งมาขอถ่ายรูปด้วย 

เราใช้เวลาหนึ่งวันที่นี่หลังจากกลับมาจากทะเลทราย เป็นหนึ่งวันที่สนุกไม่แพ้กัน เราคิดว่าการจะสัมผัสเมืองนี้ได้ดีที่สุดก็คงต้องเป็นคนที่เติบโตและใช้ชีวิตที่นี่มาเล่าให้เราฟัง จึงเกิดไอเดียอยากจ้างโลคัลไกด์มาพาเที่ยว จริงๆที่นี่ไม่ได้มีโลคัลไกด์บริการหรือทำเป็นกิจจะอะไรแต่สิ่งที่เราร้องขอไปที่โรงแรมนั้น ทำให้เราได้ไกด์ที่เป็นคุณปู่อายุใกล้ๆร้อยแต่มีทัศนคติที่ดีมากมาพาเดินชมเมืองและไปทานไอศกรีมอร่อยๆ ไม่เพียงเท่านี้นะ ยังพาไปดูจุดชมวิวที่ถ้ามาเองคงหลงแน่นอน เสียดายที่เราไม่มีคอนแทคของคุณปู่ไม่งั้นคงได้แปะไว้ให้แน่นอนค่ะ คุณปู่เต็มใจรับงานนี้เพราะอยากโชว์บ้านเมืองของตัวเองอยากเล่าสิ่งต่างๆให้ฟัง ซึ่งแน่นอนเมื่อไม่ใช่อาชีพของคุณปู่ ทริปวันนี้ก็เลยเดินพูดคุยกันไปเรื่อยๆแวะบ้านคนนั้น บ้านคนนี้ที่ปู่รู้จัก เล่าเรื่องครอบครัว เล่าเรื่องวิถีชีวิตที่นี่ในมุมของปู่ ตั้งแต่เกิดและเติบโต แวะตรงโน้นนั่งคุยตรงนี้ไปเรื่อยๆเลย ไม่รีบไม่ร้อนและไม่ได้ฟิกเวลาไว้ด้วย จนถึงค่ำๆเราก็แค่มารอขึ้นรถไฟนอนเพื่อที่จะตื่นไปอีกเมืองนึงเท่านั้นเอง

บรรยากาศในย่านตลาด
ใจกลางเมือง

Day06 : jaisalmer - jodhpur

เมืองสีฟ้า Jodhpur เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2ของรัฐราชาสถาน เป็นเมืองที่มีทั้งศาลสูง มหาวิทยาลัยแพทย์ วิทยาลัยกองทัพอากาศ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์รวมทางการค้าที่สำคัญของรัฐราชาสถานเลยก็ว่าได้ด้วยชัยภูมิที่ตั้งที่อยู่ตรงกลางของรัฐ การคมนาคมสะดวกมากหากเทียบในหลายๆเมือง ในแง่ของสถานที่ท่องเที่ยวแน่นอนว่าเมืองสีฟ้านี้ก็อัดแน่นด้วยความเก่า ทั้งกำแพงเมืองโบราณตั้งแต่ศตรวรรษที่ 18 รวมไปถึงพระราชวังและป้อมโบราณ 

เรามาถึงเมืองนี้ในช่วงเช้าเลย เหมือนเดิมคือคงลงมาหาตุ๊กๆที่จะคอยมารับเราไปส่งที่โรงแรม ที่เอเจนซี่ทัวร์จัดแจงไว้ให้ค่ะ ทริปนี้ไม่ได้จองที่พักเองเลยถ้าไม่รวมที่นิวเดลี ทำให้ต้องคอยลุ้นกันตลอด ซึ่งที่พักในวันนี้กลับดีมาก วิวเป็นป้อมตระหง่านอยู่ด้านหลังเลย 

ที่พักในเมือง Jodhpur

เข้าที่พักเช็กอิน นั่งพักผ่อนทานอาหารเช้า วันนี้เป็นวันที่เริ่มเหนื่อยกับป้อมปราการและพระราชวัง ในเมืองสีฟ้านี้เราเลยขอเที่ยวแตกต่างออกไปคือจะไปเที่ยว สวน ชิมแมคโดนัล ตกเย็นไปจุดชมวิวเมืองสีฟ้าแค่นี้พอค่ะ 

-08-
Mandore Garden

 ความงดงามของสถาปัตยกรรมในยุคก่อนปรากฎชัดที่นี่ Mandore Gardens เมืองโบราณที่ตั้งอยู่ในทางเหนือของ Jodhpur  ซึ่งเมืองนี้มีมาตั้งแต่ในสมัยศตรวรรษที่ 6 เป็นเมืองหลวงของ Marwar ก่อนการก่อตั้งเมือง Jodhpur ในโบราณสถานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ วัดโบราณที่รวบรวมเหล่าเทพ แถมที่เมืองโบราณนี้ยังมีตำนานเรื่องเล่าสืบๆกันมาว่าเกี่ยวข้องกับเหล่าทวยเทพในศาสนาฮินดูด้วย 

เราหาที่นี่เจอโดยบังเอิญจากการดูรูปใน Instagram ดูแล้วรู้สึกว่าตึกต่างๆมีความแปลกประหลาดแบบที่ไม่เคยเห็นจากที่อื่นเท่าไหร่ จึงสนใจมาที่นี่ค่ะ เปิดรูปให้ตุ๊กๆดูแล้วก็มั่วๆมาจนถึงที่นี่ ในสถานที่แห่งนี้เข้ามาก็เจอคนขายของ ขอทานเด็กที่มาดึงกระเป๋าเรา เจอคนทำพิธีแต่งงาน เจอฝูงลิงที่พร้อมจะกระชากหัวเราด้วย สนุกไปอีกแบบ เป็นสวนที่ไม่ได้มีค่าเข้าชมอะไร สามารถเข้าได้เลยอารมณ์สวนสาธารณะค่ะ 

ของขายที่แบกับพื้นหน้าทางเข้า

จบจากตรงนี้ก็บ่ายสองกว่าๆ ถ่ายรูปไปเยอะมาก เหมือนมาเล่นไปทุกจุด จากจุดนี้เราจะหาตุ๊กๆพาไปยังจุดชมวิวที่เห็นทั้งเมืองสีฟ้าค่ะ จริงๆควรไปเดินในเมืองสีฟ้าที่เป็นบ้านคนแต่เหนื่อยจนลืมคิด คิดแค่ว่าเห็นภาพรวมเมืองจากมุมสูงก็พอใจแล้วค่ะ ความเหนื่อยจากการเที่ยวมันทำให้เราเบลอได้เหมือนกัน 

-09-
Sunset in Singhoria Hill

ชมพระอาทิตย์ตกกับวิวเมืองสีฟ้าในมุมสูง ทำให้เห็นเมืองสีฟ้าว่ามันคือสีฟ้าจริงๆ สถานที่ชมวิวนี้มีชื่อว่า Singhoria Hill หรือจุดชมวิวที่จะเห็นเมืองกับป้อมปราการของเมืองนั่นเอง เราไม่มีไอเดียในการมาที่นี่เลยแต่มาถึงนี่ได้ก็เป็นเพราะตุ๊กๆที่เราเรียกออกไอเดียให้นั่นเอง!! 

รู้หรือไม่? ทำไมบ้านเรือนถึงเป็นสีฟ้า?
คำตอบคือคอปเปอร์ซัลเฟตนั่นเองที่นำมาใช้ทาบ้านเพื่อไล่แมลง แต่ด้วยสภาวะหลายๆอย่างๆทำให้คอปเปอร์ซัลเฟตเปลี่ยนสภาพเป็นสีฟ้าอย่างที่เห็นจนกลายเป็นชื่อเมืองสีฟ้าไปโดยปริยาย.. 

ปิดท้ายด้วยการกลับมานั่งดินเนอร์กับวิวสวยๆของป้อมปราการที่โรงแรม ปิดจบวันด้วยการสลบไปเลยบนเตียงนุ่มๆที่ไม่ใช่บนรถไฟ!!!แต่พรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องเจอกับรถไฟอีกแล้วค่ะ เพื่อจะไปยังเมืองต่อไป 

Day07 : Pushkar

เมืองพุชการ์ตั้งอยู่ห่างจาก Jaipur 150km. เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นจุดรวมเหล่าฮิปปี้เลยค่ะ แต่จริงๆไม่ใช่นะเมืองนี้เป็นสถานที่แสวงบุญของชาวฮินดูและซิกข์ตั้งหาก ในเมืองเล็กๆแห่งนี้มีวัดอยู่หลายวัด ซึ่งวัดที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นวัดที่มาจากศตวรรษที่ 18 ส่วนวัดหลายๆวัดก็ถูกทำลายโดยมุสลิมในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคแห่งการพิชิตเมือง ต่อมาได้มีการสร้างวัดที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ วัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาวัดพุชการ์คือวัดพราหมณ์ยอดแหลมสีแดง ถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูโดยเฉพาะในลัทธิศักดินาเลยล่ะค่ะ ในเมืองนี้ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์และไข่ซึ่งขอบอกว่าเป็นความจริง เพราะตอนนั้นไปหาร้านอาหารที่ไหนก็ไม่มีอาหารที่มีเนื้อสัตว์ปนอยู่เลย

พุชการ์ตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบพุชการ์ ซึ่งมีท่าน้ำหลายแห่งที่ผู้แสวงบุญมาอาบน้ำ หากไปเดินเล่นในเวลาเช้าตรู่ จะพบคนมานั่งอาบน้ำเยอะแยะเลย 

บ้านเรือนสองข้างทางในเมือง
ผู้คนใช้ชีวิตในตลาด มีการเล่นหมากรุก
บรรยากาศตลาดยามเย็น

เรามาถึงเมืองนั้นในเวลาช่วงบ่ายๆเกือบๆเย็น ตอนเย็นก็เลยเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆ ในเมืองมีตลาดที่เป็นจุดที่ครึกครื้นที่สุด มีร้านค้าที่ขายของหลากหลายชนิด ตั้งแต่ผลไม้ อาหาร ขนม ไปจนถึงเครื่องหนังเครื่องแต่งกายกันเลย เดินเล่นยามเย็น ชิมสตรีทฟู๊ด ชิมขนมเดินผ่านถ่ายรูปกับวัด ก็ครบแล้วค่ะสำหรับเมืองเล็กๆเมืองนี้ 

วัดที่เราเดินผ่าน ไม่ทราบชื่อเหมือนกันแต่ตั้งอยู่บริเวณตลาดเลย  

ตื่นเช้าตรู่มาเดินเล่นริมแม่น้ำจะพบว่ามีคนมาอาบน้ำกันอยู่หลายจุดรอบๆแม่น้ำ เดินเล่นยามเช้าเสร็จกลับที่พักทานอาหารเช้าเก็บสัมภาระ เตรียมขึ้นรถไฟไปต่ออีกเมืองนึงค่ะ 

Day08 : Udaipur

อุไดปูร์ เมืองที่เราว่าสวยและโรแมนติกมากจนตกหลุมรักไปหลายๆรอบเลยค่ะ เมืองนี้ในอดีตมีชื่อว่า Udayapura และยังเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร Mewar ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1559 โดย Udai Singh II โดยย้ายเมืองหลวงจากเมือง Chittorgarh มายังเมืองอุไดปูร์หลังจากที่ เมืองChittorgarh ถูกปิดล้อมโดย Muhammad Akbar

มันยังคงเป็นเมืองหลวงจนถึงปี พ.ศ. 2361 และกลายเป็นรัฐของอังกฤษหลังจากนั้นก็กลายเป็นจังหวัด Mewar เป็นส่วนหนึ่งของรัฐราชสถานเมื่ออินเดียได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2490

-10-
Lake Pichola

เรามาถึงเมืองอุไดปูร์ช่วงบ่ายๆ เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยก็มาหาอาหารทานแล้วหลังจากนั้นก็ไปซื้อตั๋วเรือ เพื่อล่องเรือชมเมืองยามเย็นรอดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งจะล่องไปในทะเลสาป Pichola ทะเลสาปชื่อดังมากของเมืองนี้ 

ทะเลสาบ Pichola เป็นทะเลสาบน้ำจืดเทียมที่สร้างขึ้นในปี 1362 โดยตั้งชื่อตามหมู่บ้าน Picholi ที่อยู่ใกล้เคียง ทะเลสาบนี้เป็นหนึ่งในทะเลสาบที่อยู่ติดกันหลายแห่ง และพัฒนาขึ้นในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมาทั้งในและรอบๆเมืองอุไดปูร์ ซึ่งทะเลสาบเหล่านี้สร้างขึ้นมาจากหลักการสร้างเขื่อน ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการน้ำดื่มและการชลประทานของเมืองและบริเวณใกล้เคียง ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น ภายในทะเลสาบ 

พิโชลานี้มีเกาะอยู่ 4 เกาะ และ2เกาะ ชื่อว่า Jag Niwas และ Jag Mandir ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นพระราชวังที่มองเห็นทัศนียภาพของทะเลสาบ ได้อย่างสวยงามและลงตัว 

โดย วังที่ชื่อ Lake palace ถูกสร้างขึ้นที่เกาะ Jag Niwas และเกาะ Jag Mandir ส่วนเกาะที่ 3คือMohan Mandir ซึ่งเป็นที่ที่กษัตริย์จะทรงชมการเฉลิมฉลองเทศกาลประจำปี
4คือ
Arsi Vilas เกาะเล็ก ๆ ซึ่งเป็นคลังกระสุน แต่ยังเป็นพระราชวังขนาดเล็ก อันนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหนึ่งในมหารานาแห่งอุทัยปุระเพื่อเพลิดเพลินกับพระอาทิตย์ตกบนทะเลสาบ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนกนานาชนิด รวมทั้งเป็ดกระจุก คูท นกกระยาง นกนางนวล นกกาน้ำ และนกกระเต็น

พอเราได้มาล่องอยู่กลางทะเลสาบเห็นพระราชวัง บวกกับบรรยากาศโดยรอบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นที่ๆโรแมนติกมาก เป็นเมืองที่ชาวอินเดียมักนิยมมาจัดงานแต่งงานกันที่นี่ เพราะสวยสงบและตราตรึงจริงๆค่ะเพื่อนต่างชาติที่พบกันตั้งแต่เมืองก่อนๆก็มาเจอกันที่เมืองนี้ พอได้พูดคุยต่างก็ตกหลุมรักเมืองนี้เป็นเสียงเดียวกันถึงขั้นจะขยายเวลาที่จะอยู่เมืองนี้กันเลยทีเดียว

บรรยากาศบนเรือ 

เมื่อล่องเรือไปโดยรอบแล้ว ถึงเวลาใกล้ๆพระอาทิตย์ตกเรือจะมาจอดตรงกลางค่ะ เพื่อให้เราดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะล่วงลับขอบฟ้าไป แสงสีเหลืองทองกระทบกับน้ำและมีวิวเป็นพระราชวังนั้นดูแปลกตาและสวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย อธิบายไม่ถูกต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองค่ะ พอพระอาทิตย์ตกก็ได้เวลากลับเข้าฝั่ง เดินเล่นในเมืองเล็กน้อย ในเมืองเงียบมากไม่ค่อยมีคนเดิน น่าจะเพราะไปอยู่ตามร้านอาหารรูฟท็อป จะบอกว่าร้านพวกนี้บรรยากาศดีมากกกกก แทบทุกร้านเลยค่ะ เพราะอยู่บนดาดฟ้าตึก แถมอากาศก็ดีด้วย ทานดินเนอร์เสร็จก็กลับเข้าที่พักเตรียมตัวเที่ยวในวันพรุ่งนี้ต่อ 

Day09 : Udaipur 01

วันนี้เป็นวันที่เราจะรีแลกซ์กันอีกวันหลังจากที่เที่ยวรัวๆมา วันนี้ตื่นสายๆไม่ได้มีแผนการอะไรล่วงหน้าค่ะ แต่…. ชีวิตมันน่าบังเอิญกว่านั้นอีก มีคนมาอาสาพาไปเที่ยวด้วยเลยโดยไม่คิดเงิน ในเมืองสวยๆน้องๆอิตาลี ถนนหนทางไม่คล้ายอินเดียส่วนใหญ่ ผู้คนยังใจดีอี๊กกกก 

-10-
Sajjangarh Monsoon Palace

พระราชวังมรสุมหรือที่เรียกว่าพระราชวัง Sajjan Garh เป็นที่พำนักอันโอ่อ่าบนยอดเขาในเมืองอุไดปูร์ เป็นวังที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว อยู่บนยอดเขา Bansdara ของเทือกเขา Aravalli ที่ระดับความสูง 944 ม. (3100 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง  ซึ่งจากมุมมองบนพระราชวังจะมองเห็นทะเลสาบ Fateh Sagar เห็นเมืองอุไดปูร์จากมุมกว้างและเห็นทะเลสาบพิโชลาด้วย  พระราชวังถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2427 ตั้งชื่อตามชื่อมหารานา สัจจัน ซิงห์ (พ.ศ. 2417-2427) แห่งราชวงศ์เมวาร์  จุดประสงค์หลักของผู้สร้างคือต้องการจะทำให้เป็นศูนย์ดาราศาสตร์เก้าชั้น เพื่อติดตามการเคลื่อนที่ของเมฆมรสุมในบริเวณรอบวังแต่แผนถูกยกเลิกด้วยการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรนั่นเอง  ปัจจุบันอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมป่าไม้ของรัฐบาลราชสถาน และเพิ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม พระราชวังให้ทัศนียภาพที่สวยงามยามพระอาทิตย์อัสดง  

The Monsoon Palace เป็นพระราชวังที่อยู่บนยอดของเขาสูงที่ออกมานอกเมืองนิดนึง มีความโอ่อ่าหรูหราตั้งตระหง่านอยู่สูงสุดบนยอดเลย เมื่อมาถึงหากมองออกไปที่หน้าต่างจะเห็นเมืองจากอีกมุมมองนึงเลย พระราชาแถวนี้เค้าเน้นอะไรที่เป็นวิวอลังๆเนอะ ว่ามั้ยคะ แม้ว่าที่นี่จะดูเก่าและโทรมแต่ก็ยังเหลือร่องรอยของความหรูหราดูแพงอยู่ไม่น้อย ร่อยรอยประวัติศาสตร์นี้ทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชาในสมัยก่อนมากๆ.. 

รู้หรือไม่? พระราชวังแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง 
James Bond :: Octopussy ในปี 1983 ซึ่งในภาพยนต์สถานที่แห่งนี้คือที่พำนักของ Kamal Khan เจ้าชายอาฟกันที่ถูกเนรเทศนั่นเอง 

เราแว๊นมอเตอร์ไซต์ไปกับเจ้าของร้านอาหารที่เล่าให้ฟังในตอนแรก แวะตามทางถ่ายรูปหลายที่เลยก่อนจะไปถึงพระราชวัง เที่ยวพระราชวังและที่ต่างๆขากลับพี่เค้าพาแวะร้านที่ขายงานหัตกรรม ภาพวาดต่างๆของคนที่นี่ด้วย กลับมาถึงในเมืองก็ค่ำๆ แวะทานอาหารเย็นแล้วก็กลับไปหลับที่โรงแรมเลยค่ะเพื่อรอทริปวันพรุ่งนี้ และเป็นวันสุดท้ายของราชาสถาน 

Day10 : Udaipur 02

วันนี้เป็นวันที่เราจะเที่ยวอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้ายค่ะ จะใช้เวลาครึ่งวันไปกับพระราชวังที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในรัฐราชาสถานค่ะ  

-11-
City Palace - Udaipur

City Palace เป็นอีกพระราชวังที่ตั้งอยู่ที่เมืองอุไดปูร์ เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1553 โดยมหารานาอุไดซิงห์ที่ 2 แห่งตระกูล Sisodia Rajput ขณะที่เขาย้ายเมืองหลวงจาก Chittor ในอดีตไปยังเมืองอุไดปูร์ที่เพิ่งค้นพบ พระราชวังได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองหลายองค์ในราชวงศ์ Mewar 

พระราชวังตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบพิโชลา ถูกสร้างขึ้นในสไตล์ที่หรูหราและถือเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในรัฐราชสถาน สร้างขึ้นบนเนินเขามีรูปแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมราชสถานและโมกุล ให้เห็นทัศนียภาพที่สวยงามกว้างไกลของเมืองและบริเวณโดยรอบ จากพระราชวังสามารถมองเห็นทะเลสาบ Pichola อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น Lake Palace, Jag Mandir, Jagdish Temple, Monsoon Palace และ Neemach Mata Temple 

ก่อนจะเข้าไปที่นี่หากมีกล้องไปด้วย ต้องนำกล้องไปลงทะเบียนก่อนนะคะ และจะมีเสียค่านำกล้องเข้าด้วย จำไม่ได้แล้วว่ากี่บาทประมาณหลักร้อยบาท 

เดินภายในต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยถ้าจะเดินแบบซึมซับไปทีละส่วนๆ เพราะใหญ่และหรูหราอลังการมากจริงๆค่ะ มีสารพัดห้องตั้งแต่ห้องใหญ่อลังการ ไปจนถึงห้องเล็กๆทางเดินแคบๆใต้ดิน แต่ละห้องล้วนมีประวัติ มีป้ายบอกตลอดทางเดินค่ะไม่ต้องกลัวหลงเลย มีนักเดินทางหลายๆคนก็ชอบแต่งตัวสวยๆมาถ่ายรูปที่นี่ โดยเฉพาะห้องที่เป็นสีพาสเทล ซึ่งมีหลายห้องสุดๆ 

ที่นี่คือที่สุดท้ายของทริปนี้ค่ะ ใช้เวลาหมดไปก็ครึ่งวันพอดี เสร็จตรงนี้กลับที่พักเข้าไปเก็บของแล้วไปสนามบินเพื่อไปหาซื้อตั๋วกลับนิวเดลี ซึ่งในความจริงตามแผนจะต้องนอนรถไฟนอนกลับค่ะ แต่ไม่อยากรอแล้วนอนจนซึ้งในรสชาติแล้วจึงตัดสินใจนั่งเครื่องกลับกันไปเลย เพื่อที่จะได้มีเวลาไปชิลๆต่อในเดลี 

สรุป

จากความรู้สึกทั้งหมดที่ได้ผ่านทริปนี้มา เราค่อนข้างชอบและรู้สึกหลงไหลในเสน่ห์ของรัฐนี้ ซึ่งอาจจะหาไม่ได้จากที่อื่นและเป็นที่ๆกล้าบอกว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกค่ะ โดยเฉพาะเมืองอุไดปูร์ยังไม่ได้ไปพระราชวังกลางทะเลสาบเลย ตกหลุมรักแบบจริงๆจังๆมาก เป็นทริปที่จะสบายก็ไม่สบายซะทีเดียว จะสะดวกก็ไม่ซะทีเดียวก็อินเดียอะเนอะ มีติดขัดบ้าง เหนื่อยบ้างเช่นคนขับรถมารับช้ามาก หากันไม่เจอบ้าง เรื่องความสะอาดของที่พักบ้าง ขึ้นรถไฟผิดบ้าง คิดว่าคงไม่เหมาะสำหรับคนที่ยังกังวลเรื่องความลำบากยกเว้นว่าจะลองซื้อทัวร์ที่หรูหรามาเลย แต่รวมๆแล้วทั้งหมดที่ว่ามา ผสมๆกันแล้วนี่คือเสน่ห์ของอินเดียค่ะ และรัฐที่เต็มไปด้วยพระราชาอย่างรัฐนี้ก็คงหาไม่ได้จากที่อื่นเช่นกัน ใครอยากตามรอยก็ขอให้สนุกนะคะ ทริปนี้จะสนุกมากๆถ้าวางแผนมาดีๆค่ะ เจอกันเรื่องเล่าหน้านะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบ 

ไม่มีเวลาอ่าน?

เซฟลงพินเทอเรสไว้อ่านทีหลังก็ได้นะ

การเดินทาง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *