ทำไมฉันถึงต้องออกเดินทาง?

เพราะชีวิตมันสับสนและน่ามึนงงจนต้องออกเดินทางน่ะสิ

Hi ! Yo !

สวัสดีค่ะ 🙂 “โซเนีย” ที่ทุกคนได้ยินนั้นแม้จะเป็นชื่อเล่นชื่อนามปากกาชื่อที่ใช้เรียกง่ายๆเวลาคุยกับเพื่อนต่างชาติ แต่จริงๆมีอีกชื่อนั่นคือ “ซอฟ” เรียกชื่อไหนก็ได้คิดว่าหันหมดเลยทุกชื่อ ฮ่าๆ ชื่อจริงๆขึ้นต้นด้วย “น” ที่เค้าว่ากันว่าจะใจเย็นและสดใส..  แต่ในความจริงนั้นก็หัวร้อนง่ายอยู่  โซเนียชอบเที่ยวอย่างที่ทุกคนเข้าใจนั่นแหละ แต่โซเนียชอบเที่ยวแบบที่คนอื่นๆอาจจะไม่ชอบเลย นั่นคือเน้นสัมผัสชีวิตจริง เน้นผจญภัยก็เลยไปจบที่ลำบากซะงั้น

ถ้าให้นิยามตัวเองเป็นดอกไม้หนึ่งดอกก็คงต้องเป็นดอกทานตะวัน.. ถ้าเป็นอาหารก็คงเป็นทาโก้ ถ้าเป็นโรคหนึ่งโรคก็คงเป็นไบโพล่า 555 ช่างมันเถอะค่ะเรื่องนี้แต่หวังว่าทุกคนจะสัมผัสและเข้าใจได้

การชอบเที่ยวจริงๆเกิดมาจากการไม่รู้ ไม่รู้ในที่นี้คือไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบเที่ยว.. และไม่รู้ด้วยว่าเราเกิดมาทำไม ไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตไปทำไมจึงเป็นที่มาของการออกหาความหมาย ที่ช่วงวัยรุ่นหัวรั้นช่างสงสัยกำลังเกิดคำถามกับชีวิตในขณะนั้น คำถามที่บ่มเพาะมาจากการใช้ชีวิตที่ทุลักทุเลในช่วงต้น20 

ชีวิตที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน อาชีพ ความรัก และครอบครัว บทเรียนทุกด้านที่ชีวิตโยนใส่เข้ามานั้นบีบบังคับจนเกิดคำถามเหล่านี้.. ใช่ แล้วเราเกิดมาทำไมนะ มีชีวิตไปทำไมกัน? ทำไมคนทุกคนต้องดูวุ่นวายกับการทำอะไรสักอย่าง เร่งรีบไปทุกอย่าง หมกมุ่นกับการทำชีวิตให้ดูเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า “ประสบความสำเร็จ” ซึ่งเราต่างก็ตอบไม่เหมือนกันเลยว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไร แม้แต่ตัวเราเองก็วิ่งไล่สิ่งๆนั้น เพราะสภาพแวดล้อมทำให้เข้าใจไปเองว่ามันคือสิ่งที่ควรทำหรือเป็นสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งยิ่งเข้าใกล้อะไรบางอย่างที่คล้ายๆสิ่งนั้นกลับพบแต่ความว่างเปล่า สิ่งที่เราคิดว่ามันคือสิ่งดีนะ พอได้มาแล้วก็ยังรู้สึกว่าแล้วมันยังไงต่อนะ..  ซึ่งได้บ้าง ล้มเหลวบ้าง งงบ้าง ท้อบ้าง ทุกข์บ้างแต่ก็ยังรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจอยู่ดีแหละ สุดท้ายก็วนมาถามที่เดิมว่า “เรามีชีวิตไปทำไมนะ” 

จนในที่สุด วันนั้นก็มาถึง.. วันที่ติดสินใจทำตามเสียงเรียกของหัวใจ ไม่ได้พูดสวยหรูแต่มันมีเสียงจริงๆ เสียงมันเหมือนเสียงตะโกนในหัวตลอดเวลา แต่มันมาจากใจ ไม่รู้ว่าเสียงตะโกนนั้นเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย แต่สาบานว่ามันมีเสียง “ไปปป ออกไปไกลๆที่ไหนสักแห่งก็ได้ ไปเลย” อธิบายความรู้สึกไม่ถูกแต่เหมือนความรู้สึกของการอยากกินอะไรสักอย่าง ที่ไม่รู้รสชาติ แต่สัมผัสได้ว่าต้องอร่อยแน่ๆเลยอ่ะ 

เสียงในหัวบอกให้ไปไม่พอ.. แต่หัวใจก็ยังบอกอีกด้วยว่าต้องมีอะไรดีๆรออยู่แน่ๆ.. และจะได้เลิกสงสัยสักที ว่าชีวิตนี้มีไปทำไม? ถึงตอนนี้จะผ่านมาหลายสิบประเทศ ซึ่งคำตอบของคำถามนี้มีเป็นสิบๆคำตอบเลย อยู่ที่ว่าใครถามและอยากได้ยินว่าอย่างไรเท่านั้นเองค่ะ 🙂

นอกจากคำตอบพวกนั้นแล้วรางวัลที่แถมมาคือ อะไรบางสิ่งที่หัวใจไม่รู้สึกว่างเปล่าและเป็นสิ่งที่อยากเรียก(เอาเอง)ว่าเป้าหมายของชีวิตแค่นี้เลย ซึ่งพอย้อนกลับไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกตามหาคำตอบก็พอจะคิดได้ว่าแท้จริงแล้วเราอาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบที่เป็นแค่คำตอบเท่านั้น แต่เราต้องการค้นหา “เป้าหมายชีวิต” ที่ทำให้ชีวิตมีความหมายและอยากทำให้คุ้มค่าทุกวินาทีตั้งหาก 

ออกเดินทางครั้งแรก

ออกเดินทางครั้งแรก (ด้วยตัวเองคนเดียว) เป็นการเดินทางครั้งแรกที่ไม่ใช่ครั้งแรก คือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปเที่ยวคนเดียว แต่เป็นครั้งแรกหลังจากตัดสินใจวางทุกอย่างและใช้หัวใจนำทาง.. ผลคือไม่มีแผน ไม่มีระยะเวลา และโดยเฉพาะไม่มีความคาดหวัง “ก็แค่ไป”  


ซึ่งตัวเลือกครั้งนี้ไม่ไกล.. แค่ประเทศเพื่อนบ้าน เราว่าระยะทางกับความกลัวมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยยะ ในตอนที่ความกลัวมากกว่า ระยะทางนั้นก็จะสั้นลงตามไป แต่ถ้าถามตอนนี้ตอนที่พิมพ์อยู่เลเวลที่ผ่านการอัพมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ความกลัวก็น้อยลงและตามมาด้วยระยะทางที่ไกลขึ้น 

เราไม่ได้เลือกประเทศเพื่อนบ้าน เอาจริงๆเราไม่ได้เลือกหรือมานั่งวางแผนอะไรเลยว่าจะไปไหน มันเกิดขึ้นเร็วมากคือก็แค่ไปเดี๋ยวค่อยคิด ขอแค่ไปให้เร็วที่สุด ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว แล้วสุดท้ายเราก็มาโผล่ตรงนี้ แห่งนี้ได้อย่างไรไม่ทราบเหตุผล มันอาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆแค่ “ใกล้สุด” หรือ “เร็วสุด” ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ลืมอยู่ดีนั่นแหละว่าเหตุผลใด

ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่ ที่ไม่หมูอยู่ดีเพราะออกนอกประเทศไปแล้วเมื่อไหร่ยังไงก็ต่างบ้านต่างภาษาแม้ว่าที่แห่งนั้นจะมีความใกล้เคียงเรามากเพียงใดจะอาหาร ภาษา ภูมิประเทศหรือหน้าตาคนในประเทศแต่ยังไงก็ “ต่างประเทศ” 
เรามาถึงอย่างวุ่นวายและสับสน บ้างนึกขึ้นได้ก็นั่งถามตัวเองว่ามาทำไมเนี่ย แต่ในท้ายที่สุดแล้วเราก็ดูเหมือนจะมีทุกวันๆที่มีความหมายขึ้นมาเฉยเลย เพราะเอาจริงๆมันยุ่งมากๆกับชีวิตที่ต้องถามว่า วันนี้เราจะไปไหน เราจะทำอะไร เราจะดูอะไร เราจะกินอะไร เราจะนอนที่ไหน อยู่กี่วันดีนะ  จากคนที่ชีวิตไร้วินัย ไร้การวางแผนทางการเงินก็ดูจะเป็นคนช่างวางแผนและรอบคอบขึ้นมาทันที 

ซึ่งเราว่ามันดีนะ ดีมากๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีโดยไม่ได้ตั้งใจ มันง่ายกว่าการต้องมานั่งฝึกตัวเองให้ดีโดยตั้งใจแต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวยเป็นไหนๆเลยล่ะ อารมณ์ประมาณว่าถ้าคุณต้องวิ่งเพราะจำเป็นต้องหนีอะไรสักอย่าง มันจึงผลักให้คุณวิ่งจนคุณลืมไปว่าก่อนหน้านี้คุณวิ่งไม่ได้นี่เพราะมันเหนื่อย เทียบกับเหตุการณ์ที่คุณไม่จำเป็นต้องหนีไม่ต้องวิ่ง และเลือกได้ว่าจะไปนอนดูหนัง นั่งกินของอร่อยๆหรือออกไปวิ่ง แน่นอนการออกไปวิ่งมันจึงยากกว่ามากๆ (ถ้าคุณไม่ใช่นักวิ่งอะนะ) 

สิ่งที่ได้เรียนรู้

การมาคนเดียวแรกๆก็ดูแปลก ดูงง และกล้าๆกลัวๆ(แน่นอนว่าคิดเองและรู้สึกเองอยู่คนเดียว) แต่มันต้องใช้เซนส์นิดนึงว่าควรเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน เมื่ออยู่ถูกจุดมันก็จะไม่รู้สึกแปลกหรือประหลาดอะไร จุดที่ว่าคือจุดที่มีคนเหมือนๆเรามาอยู่ที่เดียวกันนั่นเอง หากเลือกจะไปไหนและรู้แค่งูๆปลาๆ ให้มองหาจุดที่เป็น “Tourist Center” ไว้หน่อยก็แล้วกันนะ ชีวิตจะออกมาง่ายขึ้น

การเรียนรู้ระหว่างทางมันเยอะมาก..และมันก็ผสมเล็กผสมน้อยเหมือนจิกซอร์ที่เปลี่ยนเราเป็นคนใหม่และเป็นคนที่มีชีวิตรูปแบบชีวิตวิธีคิดแบบที่เราเป็นเราในทุกวันนี้ เรียกง่ายๆว่า มุมมองของชีวิตเปลี่ยนไป(โดยสิ้นเชิง) และแน่นอนเรากลายเป็นคนที่อยากเดินทางและต้องการเห็นสิ่งใหม่ๆเสมอ ไปโดยปริยาย… และจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีของการเดินทางที่แทบไม่ได้กลับบ้านเลยซึ่งตอนนั้นเหมือนจะไม่มีบ้านให้กลับ สิ่งที่เราได้เรียนรู้อย่างแท้จริง เป็นสิ่งใหญ่ๆที่จับมัดรวบออกมาเป็นก้อนหนึ่งก้อนนั้นคงเป็นเรื่องเซนส์ในการใช้ชีวิต การเอาตัวรอด ความอยู่ให้ง่าย การมองข้ามเรื่องน่าปวดหัวเล็กๆน้อยๆที่เผชิญแทบจะตลอดเวลาได้คล่องแคล่วขึ้น ซึ่งเราว่าถ้าไม่รู้จักขำให้เรื่องปวดหัวจุกจิกเล็กน้อยให้ชีวิตบ้าง หน้าคนเราก็คงจะมุ่ยตลอดเวลาเลยล่ะ 

เราว่าเราคงการันตีไม่ได้ว่าทุกคนที่เดินทางเหมือนกันจะได้เรียนรู้และประสบการณ์เหล่านี้เหมือนกัน
การเดินทางพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง ปัจจัตตัง เหมือนกันนะ เพราะมันเป็นของใครของมัน
ที่ต่อให้เล่าเก่งแค่ไหนก็คงเล่าแบบมอบประสบการณ์นั้นๆทั้งหมดให้ไม่ได้ ที่เรายกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะบอกว่า คุณควรออกไปลองดู สักครั้ง จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายหรือจะเป็นครั้งแรกและครั้งที่สองสุดท้าย มันก็เป็นสักครั้งที่ได้รู้นั่นแหละ..แล้วก็คงจะอินขึ้นกับตัวอักษรที่พิมพ์ทั้งหมดหน้านี้มากขึ้น

สุดท้าย.. เราหวังว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้จะมีแรงบันดาลใจ มีอะไรสักนิดไปสะกิดใจบ้างนะคะ 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *